พวกผมกินข้าวกันไปก็คุยกันไปเรื่อย เชียร์สามารถคุยกับน้องฝ้ายแล้วก็ยัยมินได้อย่างกับเพื่อนสนิท ทำเอาไอจิลงิดไปเลย เพราะไม่ได้เล่นมุกกับมิน(อันนี้ดี ผมจะได้ไม่เลี่ยน) พอกินกันเสร็จผมเดินไปแถวๆหน้าตึกหนึ่งเพื่อกลับห้อง เชียร์เองก็บอกขออยู่กับพวกผมที่ห้องก่อน ก็เลยไปที่ห้องกัน (ดูเธอจะสนิทกับมินและน้องฝ้ายมากๆแล้วล่ะ ผมเลยเหมือนไม่มีค่าเลย- -) และแล้วปุยเมฆก็มา....
“ปุยเมฆ” ผมเรียกเธอพอเธอเอาของมาเก็บที่โต๊ะ
“...” ไม่มีเสียงสัญญาณตอบรับจากใจเธอ- -‘
“ปุยเมฆ เป็นอะไรไปอ่ะ” ผมถาม
“...” แล้วเธอก็เดินไปหาปูเป้ กะไม่คุยกันเลยหรอ-*-
“ปุยเมฆ ถ้าไม่อยากคุยกับเรา ถ้างั้นเราจะไม่คุยกับปุยเมฆอีกเลยนะ โชคดีครับ” เอาดิ้ งอนมาของอนกลับมั่ง ไม้แข็งต้องดัดให้อ่อน อิอิ
“....” เงียบอีกละ ไรว้า~~ เวง อย่างงี้ก็แย่ดิ
“ฮือๆๆ ปุยเมฆเราล้อเล่น เป็นอะไรไปอ่ะ ไม่คุยกับเราเลย” เหอะๆๆๆ ขืนไม่ได้คุยกับเธอผมคงแย่อ่ะT^T
“...” เธอยังคงเงียบ เออดีไปก็ได้-*-
แล้วผมก็นั่งเงียบๆที่โต๊ะอย่างเดิม ผมก้มหน้าลงไปขนานกับโต๊ะถอนหายใจดัง เฮ้อ~ แล้วเชียร์ก็หันมามองผม นึกว่าจะไม่สนใจกันซะแล้ว- -‘
“กิต เป็นอะไรไปหรอคะ?” เธอถามผมหลังจากผมถอนหายใจ
“เปล่าอ่ะ- -” หน้าผมเซ็งๆ
“มีอะไรบอกเชียร์ได้นะ” เธอทำหน้าตาเป็นห่วง คราวนี้ยัยมินกับน้องฝ้ายมองมาที่ผมกับเชียร์อย่างสงสัยอะไรบางอย่าง
“ไม่มีจริงจริ้ง~~” ผมบอกเธอปั้นหน้ายิ้มให้
“หรอคะ ไม่อยากบอกไม่เป็นไร แต่เชียร์ยินดีจะช่วยเสมอนะ” เออดีแฮะ มีคนเทคแคร์บ้าง แต้งกิ้ว~
“ขอบคุณนะเชียร์” แล้วผมก็ก้มหน้าไปที่โต๊ะต่อ
หลังจากนั้นเวลาผ่านไปเกือบเดือน ผมก็ยังไม่ได้คุยกับปุยเมฆสักทีงอนอะไรนักหนาก็ไม่รู้ บอกตามตรงผมอึดอัดมากๆ เมื่ออยู่ข้างๆเธอเนี่ย เหมือนมีกำแพงมากั้นเราสองคนไม่ให้ได้พูดกันเลย เชียร์ก็ยังคงกลับบ้านกับผมแทบทุกวัน เธอเห็นผมอึดอัดเธอก็บอกว่าเธออึดอัดด้วยเหมือนกันที่ผมเป็นอย่างนี้ ดูเธอเทคแคร์ผมจนผมเริ่มรู้สึกแปลกๆกับเธอ ซึ่งผมก็ยังไม่เข้าใจหรอกครับว่ามันคืออะไร แต่แล้วก็มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกหนักยิ่งกว่าเดิมอีก จนผมอยากเล่าให้ทุกคนฟัง
วันที่13 มิ.ย. ....
ผมตื่นเช้ามาร.ร.ตามปกติ ซึ่งมาพร้อมเชียร์อีกนั่นแหละ ตอนนี้มีหลายคนคิดว่าผมกับเชียร์เป็นแฟนกัน พวกเพื่อนผมตอนม.ต้นที่อยู่ห้องเดียวกัน ก็ทำเป็นมาแสดงความยินดีกันใหญ่เมื่อรู้ข่าวแบบนี้ เช่น “โหไอกิต มีแฟนกับเค้าสักทีนะเมิง รักษาดีๆล่ะ เค้าตาบอดมารักแล้วนะ” บางคนก็พูด “ไอกิต แฟนเมิงน่ารักนะ แต่ทำไมเมิงหมาวัดจังวะ” ดูมันแต่ละคน จะยินดีหรือจะด่าเอาสักอย่าง แต่ถึงยังไงผมก็แก้ตัวไปทันควันว่าผมไม่ใช่แฟนกับเชียร์ (ถึงแม้เชียร์จะมีอาการแปลกๆไปบ้างก็ตามหลังจากที่ข่าวพวกนี้ถึงหูเธอ ดูเธอมีความสุขยังไงไม่รู้) ตอนนี้ผมมาถึงห้องเรียนของผมเองละ
ภาพที่ผมเห็นภาพแรก มีพี่ม.6คนหนึ่งมาหาปุยเมฆ พี่คนนี้เค้าเป็นสุดหล่อประจำร.ร. เรียกง่ายๆคือหนุ่มป๊อปดาวโรงเรียน ถึงขนาดผู้ชายบางคนแทบยอมเป็นเกย์เพื่อไปรักเค้าได้เลย หล่อโคตรๆ เค้าชื่อพี่นิว ปูเป้ที่อยู่ใกล้ๆโต๊ะของปุยเมฆก็กรี๊ดวี้ดว้ายยิ่งกว่าปุยเมฆซะอีก ผมเลยงงว่าอะไรกันหว่า แล้วพี่นิวก็เดินสวนผมออกจากห้องไป ผมมองหน้าปุยเมฆแต่เธอก็ไม่สบตาผม แต่กลับแอบยิ้มแทน ผมเอากระเป๋าวางแล้วไปหาไอนัทกับไอพอล ก็น่าแปลกที่ไอนัทวันนี้ไม่มีหญิงตาม
“ เกิดอะไรขึ้นวะ?” ผมถามพวกมันแบบงงๆ
“ก็ปุยเมฆของเมิงกำลังจะโดนเทวดาคาบไปแดกละไง” ไอพอลพูด เรียกพี่เค้าเทวดาเพราะคงหล่อจนไม่อาจพูดคำว่าหมาได้
“ยังไงวะ?” ผมยังงงอยู่
“โห ไอควายยยย เอาง่ายๆยะเว้ย ตอนนี้พี่เค้ามาจีบปุยเมฆไง”
“เห้ย จริงดิ!?” ผมตาค้างพลางหันไปมองปุยเมฆที่กำลังคุยกับปูเป้อย่างร่าเริง
“เหอะ ศึกครั้งนี้ เมิงแพ้100% คบกับเชียร์ดีกว่า เชื่อกู” ดูมันไม่เชียร์เพื่อนเลย-*-
“ไม่หรอกมั้ง ปุยเมฆเค้าไม่น่าจะให้ใครจีบง่ายๆอย่างนั้น กุจีบเค้าแทบตาย(ตอนนี้ก็จีบอยู่) แต่เค้าไม่เห็นสนใจกุเลย” ผมพูดพยายามให้เข้าข้างตัวเอง
“นั่นเมิง...หน้าตาอย่างงี้ยังพูดอีก นั่นเค้าเรียกว่าเทพยดาเลยนะครับเพ่ เมื่อกี๊เพิ่งได้เบอร์ไปเอง”
“เห้ย!!” ผมอึ้งค้างเลย ขนาดผมขอเบอร์ตั้งนานไม่เคยได้ พี่เค้ามาทีเดียวได้กลับไปเชยชม
ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งเลยครับ ผมค้างอยู่อย่างนั้นเหมือนทำอะไรไม่ถูก ยิ่งได้ยินเสียงปูเป้เข้าหูด้วย ยิ่งเจ็บใจสุดๆเลย
“นี่พี่นิวนะ น่ารักมากๆเลยล่ะปุยเมฆ นิสัยก็ดีแถมเคยถ่ายแบบมาแล้วนะ ฮึ้ย~~อิจฉาเธอจริงๆเลย” ปุเป้พูด
“บ้าหรอ พี่เค้าแค่อยากรู้จักเราต่างหาก ไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้นหรอก” น้ำเสียงปุยเมฆแสดงความเขินอายออกนอกหน้า
“แล้วทำไมต้องหน้าแดงจ้ะ หืม~~” ปูเป้ยิ้มกรี๊ดวี้ดว้ายหยอกล้อกับปุยเมฆไปเรื่อย ส่วนตัวผมหรอยังค้างไม่หาย ความรู้สึกมันจะทนไม่ไหวจริงๆ อึดอัดมากๆ
แทบตลอดทั้งวัน ผมนั่งเซ็งทุกคาบเรียน แต่ปุยเมฆยังยิ้มๆ บางทีก็แอบอายจนผมนึกว่าเธอต้องไปร.พ.ซะแล้ว ยังดีที่มีคนใส่ใจเรื่องผมบ้างอย่างเชียร์ เธอพยายามช่วยผมทุกอย่าง แต่ผมก็ยังไม่เคยบอกเริ่องปุยเมฆกับเธอสักที
เช้าวันถัดมา...
“ฮัลโหล” ผมรับโทรศัพท์ด้วยเสียงงัวเงีย
“ฮ...ฮัลโหล กิตหรอจ้ะ” เสียงของเชียร์โทรมาปลุกผมเหมือนทุกวัน แต่วันนี้เสียงเธอดูอ่อยๆไม่มีแรง
“อื้ม เชียร์เป็นอะไรหรือเปล่า?” ผมถามเธอ ห่วงๆ
“ไม่เป็นไรจ้ะ แค่เป็นหวัดนิดหน่อย” เธอบอก
“ไม่ได้นะ ไปหาหมอหรือยังพ่อแม่ไม่อยู่ไม่ใช่หรอ” ผมบอกเธอแบบห่วงๆเลยแหละ เพราะพ่อแม่เธอไปต่างจังหวัดอาทิตย์นึง พี่เลี้ยงเธอก็ขอลางานไปต่างจังหวัด เธอก็เลยอยู่บ้านคนเดียว
“ยังเลยจ้ะ คงลากสังขารไปไม่ไหวหรอก” เธอตอบ
“เออจริงด้วย เอางี้เดี๋ยวเราไปหานะ” ผมบอกเธอ
“ไม่ต้องหรอกกิต เดี๋ยวไปโรงเรียนเถอะ วันนี้มีส่งงานไม่ใช่หรอจ้ะ” เฮ้อ เธอไม่มีใครดูแลยังเป็นห่วงผมอีก
“อื้ม ก็ได้” ผมบอกเธอ
เวลาผ่านไป1ชั่วโมง...
‘ติ๊งต่อง’ เสียงกริ่งที่บ้านของเชียร์
ผมยืนอยู่หน้าบ้านเชียร์ด้วยชุดไปรเวท อยากบอกครับว่ากริ่งบ้านเธอสุดยอดมากๆ เป็นกริ่งที่กดจากในบ้านถามจากลำโพงด้วยว่าคนที่กดเป็นใคร แล้วเมื่อได้ยินเสียงหรือคุ้นเคยคนเปิดก็กดเปิดล๊อคจากด้านในได้เลย วันนี้ผมจะได้ลองละ อิอิ
“ใครคะ?” เสียงเธอแหบเล็กน้อยดังมาจากลำโพง
“กิตเองเชียร์”
“อ้าวกิต มาได้ไง แค่ก...แค่ก” นั่น...ไอขนาดนี้ไม่มีคนดูแลได้ไงเนี่ย
“อื้ม ยังไงมาแล้วขอเข้าไปหน่อยสิ เพราะไปตอนนี้ยังไงก็สายละโรงเรียน” ก็ตอนเธอปลุกผมก็7โมงละ ผมจัดการอะไรที่บ้านแล้วมาหาเธอก็อีกชั่วโมง จะทันไม๊เนี่ย- -
แล้วประตูบ้านก็เปิด ผมเดินเข้าไปแล้วปิดล๊อคประตูให้เธอ ผมเดินไปในตัวบ้านก็เห็นมิกกี้(หมาพุดเดิ้ลของเธอ)กำลังกระดิกหางให้ผมอยู่ เธอเคยมาที่บ้านผมครั้งนึง เอามิกกี้มาด้วย เกือบโดนหมาบ้านผมกัดแหนะ ดูมันตระกุยผมขนาดนี้ก็พอเดาได้แหละว่าเชียร์คงยังไม่ได้ให้อาหาร ผมเลยถือวิสาสะไปเดินหาห้องครัว แล้วไปหยิบอาหารหมามาเทใส่จานมันที่อยู่ใกล้ๆกับประตูทางเข้าของบ้าน จากนั้นผมก็เดินขึ้นไปชั้นบน แล้วถามหาเธอ
“เชียร์ อยุ่ห้องไหนหรอ?” ผมตระโกนถาม
“ห้องนี้จ้ะ แค่กๆ...แค่ก ประตูที่มีคำว่าWoWน่ะ” เออดีแฮะ ผมยังให้เธอตะโกนกลับมาอีก เวนจริง
ผมเดินหาประตูที่มีปายสีชมพูน่ารักๆเป็นตัวWoWแล้วเข้าไปเคาะประตูสามที ก่อนที่จะถือวิสาสะเปิดเข้าไป ให้ตายสิครับ...หน้าเธอซีดโทรมมากๆเลยครับ ผมเห็นยังตกใจเลยใช่เชียร์หรือเปล่า
“หวัดดีครับเชียร์” ผมทักเธอ
“จ้ะ” เธอตอบสั้นๆ พลางมองมาทางผม เธอพยายามยิ้มให้ผมอย่างทุกวัน
“โห ตัวร้อนมากๆ กินยาหรือยัง?” ผมถามเธอหลังจากที่นั่งข้างๆเตียงแล้วแตะหน้าผาก
“ย...ยังเลย ไม่มีแรงลุกเท่าไหร่” เธอตอบเสียงอ่อยๆ น่าสงสารจริงๆ
“งั้นตู้ยาอยู่ไหนหรอ” ผมถาม
“อยู่ใต้บันไดจ้ะ”
ผมรีบเดินไปหายามาให้เธอกิน ผมพอรู้ด้วยแหละว่าเธอคงยังไม่ได้กินอะไรแน่ๆเลยรีบเปิดตู้เย็นหาวัตถุดิบอะไรมาทำให้เธอกิน เอาล่ะนะ อาหารสูตรฮ่องเต้ที่ผมทำกินเองมาตลอด คราวนี้ผมจะได้ให้คนอื่นกินบ้างแล้ว ฟั่บๆ~~ฉ่า~~~วับ~~ฟิ้งงงง!! เสร็จแล้วครับอาหารผม ข้าวต้มไก่(มันยากตรงไหนเนี่ย- -) ทำไงได้ล่ะครับ ผมทำอาหารเก่งซะที่ไหน แต่ก็อย่างน้อยมีอาหารให้เธอกินบำรุงหน่อยล่ะ ต่อไปก็หยิบขวดยาสลบ...เอ้ย!! พริกไทยเหยาะนิดหน่อย มันช่วยระบายได้ดีครับขอบอก ผมยกขึ้นไปให้เธอพร้อมน้ำเต็มแก้วอีกหนึ่งแก้วและยา
“เอาละ คนป่วยมีของกินสำหรับคนไข้แล้วคร้าบบบ!!” ผมบอกเธอ ยันตัวเองให้พิงประตูผลักเข้าไป
“!?” เธอมองผมด้วยสายตางงๆ
“ไม่ต้องงงเลย เอ้านี่ข้าวต้มไก่ เสร็จแล้วทานยาซะ” ผมบอกเธอ ค่อยๆจัดวางของไว้บนโต๊ะที่เลื่อนได้ในห้องเธอ
“จ้ะ” เธอค่อยๆขยับตัวลุกขึ้น ยื่นมือมาหยิบช้อน ดูทรมานจัง แค่หวัดจริงเปล่าเนี่ย- -‘
“เอางี้ เชิญคนไข้นั่งไว้อย่างนั้นดีกว่า เดี๋ยวบุรุษพยาบาลคนนี้จัดให้เองครับ อิอิ” ผมบอกเธอยิ้มให้ เอามือไปหยิบช้อนจากมือเธอ
เธอทำท่าประหลาดใจว่าจะทำอะไร ผมก็ค่อยๆตักข้ามต้มขึ้นมาเป่าเบาๆให้ไม่ร้อนมาก แล้วป้อนเธอ เธออ้าปากรับไปกินอย่างว่าง่าย
“อร่อยจัง” เธอพูดขึ้นมา
“แน่นอนสิ ฝีมือเราซะอย่าง” ผมบอกเธอ
“เก่งจังเลยนะคะ” เธอค่อยๆพูดก่อนที่จะทางคำต่อไปที่ผมป้อนให้
“มันก็ไม่ยากอะไรหรอก เอาไว้หายเมื่อไหร่ กิตจะมาสอนทำนะ เอามั้ย” ผมบอกเธอ
“อื้อ จ้ะ”
แล้วผมก็ป้อนข้าวต้มให้เธอกินจนหมด แล้วเอายาให้เธอกิน ผมเปิดเพลงเบาๆให้เธอรู้สึกสบายๆ แล้วเธอก็ผลอยหลับไปอย่างน่าเอ็นดูเลย ผมเองก็ไม่ไปไหนหรอกครับ อยู่ห้องเธอคอยดูแลเธอนั่นแหละ ตัวเธอออกจะร้อนอย่างนี้ ขืนปล่อยอยู่คนเดียวมีปัญหาแน่ๆ แต่ก็นะเบื่อๆว่างๆไม่มีอะไรทำนี่นา ผมมองไปที่เธอขณะที่ตาเธอพริ้มหลับ ‘ตุ้บ’เสียงอะไรบางอย่างตก เมื่อเธอพลิกตัวนิดหน่อย มันก็คือหนังสือไดเอรี่นี่เอง... ผมเปิดดูอย่างอยากรู้อยากเห็นไปเรื่อยๆ แล้วก็เจอในสิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจกับตัวเอง
‘วันนี้ใครก็ไม่รู้ หน้าตาตี๋ๆมากเลยล่ะ เข้ามาช่วยฉันเก็บของด้วย แล้วแถมจะช่วยถือไปให้อาจารย์อีกด้วย มันเยอะมากๆเลย หนักจัง แต่ก็ไม่ได้ให้เค้าช่วยหรอกนะ เกรงใจอ่ะ มีน้ำใจจัง 12ม.ค. 2547’ เรื่องนี้ทำผมตกใจทีเดียว เหตุการณ์มันคุ้นๆอยู่แฮะ
‘เจอเค้าอีกแล้วที่เรียนพิเศษล่ะ ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าจะได้เจอ ครั้งนี้ฉันหาที่นั่งไม่ได้ล่ะ แต่เค้าก็ลุกให้ฉันนั่งแล้วก็ไปหาที่นั่งใหม่ นิสัยดีมากๆเลย ถึงไม่ค่อยหล่อก็เถอะนะ 18 ม.ค. 2547’ เห้ย นี่ผมนี่หว่าที่เธอเขียน ผมนึกได้มาหลังจากที่ตะหงิดๆ
ผมนั่งอ่านไดเอรี่เธอต่อไปอีก ดูว่ามีเขียนข้อความอะไรบ้างเกี่ยวกับผมอีกหรือเปล่า(ถึงจะรู้ว่าการอ่านไดเอรี่คนอื่นแบบนี้มันไม่ดีก็เถอะ- -)
‘เดี๋ยวนี้เจอตานี่บ่อยจังเลยแฮะ ดูร่าเริงอยู่ทุกวันเลย 22 ม.ค. 2547’
‘วันนี้ไม่กล้าโดดเรียนเลยอ่ะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ถึงรู้สึกกลัวตานั่นเห็นจังเลย 25 ม.ค. 2547’
‘วันนี้ยัยบี(เพื่อนของเธอ) บอกเราด้วยล่ะ ว่าตานี่ชื่อกิต อืม....มองมาตั้งนานแต่ไม่รู้ชื่อ คราวนี้รู้ละ^^ 28 ม.ค. 2547’
เธอเขียนเรื่องของผมไปอีกหลายๆเรื่องเหมือนกันนอกจากนี้ ก็ประมาณเจอผมบ่อย เจอที่ไหน อะไรอย่างไร น่าแปลกซะอีก ที่ผมไม่เคยสนใจมองหาเธอเลยสักครั้ง จนมาสะดุดอีกข้อความ
‘ทำยังไงดี ตอนนี้ยิ่งเจอยิ่งรู้สึกแปลก เหมือนหัวใจเริ่มตกหล่นง่า คิดถึงหมอนั่นอยู่ได้ทุกวัน อะไรก็ไม่รู้นะเรา บ้าไปและ= = 29 พ.ย. 2547’
หน้าต่อไปมีคราบน้ำตาด้วยครับ ผมเลยยิ่งสงสัยว่ามีอะไรเข้าไปใหญ่
‘เค้ามีคนที่ชอบแล้วล่ะ แล้วเราจะไปชอบเค้าทำไมนะ เกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้จัง 1 ธ.ค. 2547’ คนที่ชอบ? อ้อสงสัยหมายถึงเจนนี่เอง
‘วันที่15 ธ.ค.วันเกิดเค้าหรอเนี่ย ตานี่ดันเกิดใกล้ยัยบีซะอีก ทำไงดีกระเป๋าเกลี้ยงแน่ 5ธ.ค. 2547’ โอ้ะ ไปสืบมาจากไหนนะ-*-
‘ได้ให้ของขวัญเค้าแล้วล่ะ คุ๊กกี๊ทำเองแหละ ไม่รู้เหมือนกันว่าอร่อยหรือเปล่า แต่เสียค่าต้นทุนไปเยอะมากเลยอ่ะ ตอนแรกคิดว่าจะไปให้เอง แต่ไม่เอาดีกว่าเพราะดูหมอนั่นตอนเห็นหน้าฉันยังดูจำหน้าฉันไม่ได้เลยนี่ ตาบ้านี่จริงๆเล้ย-*- เลยให้ยัยบีเอาไปให้แทน’ อ้าวคุ๊กกี๊วันนั้นไม่ใช่ของยัยบีหรอกหรอ ไอเรารึอุส่าห์ชมอร่อยมากๆ-*-
‘จะ14แล้วหรอ เอาอะไรให้เค้าดีนะ เฮ้อ~~~ 10 ก.พ. 2548’ อ้ะ นี่ผมจะได้ของขวัญกะเค้าด้วยหรอ ครั้งแรก ฮ่าๆๆ แต่จะว่าไปไม่เห็นได้เลยนี่หว่าสักอย่างวันนั้น- * -
หน้าต่อไปมีน้ำตาอีกแล้วครับ เอ้ะยังไง!?
‘วันนี้จะเอาของขวัญไปให้เค้าด้วยตัวเองแล้ว แต่ว่า...ฉันมันบ้าเองล่ะมั้ง ในเมื่อกิตเค้ามีคนที่ชอบอยู่แล้ว จะทำยังไงล่ะ เห็นกิตเอาของขวัญไปให้เจนด้วยหนิ รู้ไม๊ว่าฉันเสร้าใจมากๆเลย ถึงขนาดเอาของขวัญโยนทิ้งถังขยะไปเลย มานึกอีกทีตอนนี้ก็เสียดายT^T’ แป่ว เหตุผลที่ไม่ได้เพราะอย่างนี้นี่เอง แต่เธอร้องไห้นี่เพราะเสียดายของหรือไม่ให้ผมเนี่ย- -
ผมนั่งอ่านทุกถ้อยคำในหนังสือไดเอรี่เล่มนี้ จนแม้กระทั่งเรื่องที่ผมเสียใจจากเจนด้วยซ้ำ เธอรู้เรื่องของผมละเอียดทุกอย่าง ส่วนผมน่ะหรอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอสักอย่าง วันที่ผมให้ที่เรียนพิเศษ วันที่ผมช่วยเธอยกของอะไรตอนนั้นผมก็จำไม่ได้เลย ไม่เคยรู้แม้แต่ชื่อ แต่แล้วผมก็ต้องปิดหนังสือทั้งๆที่ยังอ่านไม่จบเพราะเสียงของเชียร์ดังขึ้น
“อย่าไปจากเรานะ กิต...” คำพูดของเธอดังจนผมตกใจแล้วมองไปที่เธอร่างสลบไสลอยู่บนเตียง เธอยังคงหลับเมื่อกี๊คงเป็นแค่การละเมอของเธอเท่านั้น ผมเอามือไปเอาผ้าห่มคลุมตัวเธอดีๆ แต่มือเธออยู่ๆก็จับผมแน่นไว้ที่ข้างเตียง ผมก็เลยโอนอ่อนมือนั้นตามเธอไว้อย่างนั้น ตอนนี้ผมสับสนไปหมดว่าอะไรเป็นอะไร ทำไมคนที่ผมไม่เคยรักเลยแม้เพียงน้อยนิดหรือไม่เคยคุยเลยกลับมาชอบผม แล้วทำไมคนที่ผมชอบกลับไม่เคยมาเหลียวแลผมบ้าง พูดแล้วก็คิดถึงปุยเมฆจัง ป่านนี้คงคุยกับพี่นิวสนุกสนานล่ะมั้ง...
‘อยากให้เธอฟัง อยาให้เธอรู้ คนไม่ดีก็มีหัวใจ อยากให้เธ...’ เสียงโทรศัพทืมือถือผมดังขึ้นเลยกดรับ แล้วเดินออกไปนอกห้อง
“ว่าไงวะพอล” ไอพอลโทรมาครับ
“ทำไมไม่มาวะวันนี้”
“เออ กุมีธุระ งานที่ต้องส่งเป็นไงวะ?” ผมถามมัน
“โชคดีของเมิงนะ วันนี้อาจารย์ไม่มา แต่ธุระเมิงนี่ไปเที่ยวกับเชียร์ป่ะเนี่ย ไม่มาซะทั้งคู่ หึหึ” มันแกล้งๆผม แต่ก็เดาซะเกือบถูกเผง- -
“พ่อเมิงเดะ เออแค่นี้แล้วกัน มีไรจดให้กุด้วย”
“อย่าเล่นพ่อดิวะ-*- เออเดี๋ยวงานกุจดไว้ให้”
“เออใจเว้ย แค่นี้นะ” แล้วผมก็กดวางโทรศัพท์
ก็ยังโชคดีที่เรื่องคะแนนยังไม่มีอะไรต้องคิดหนัก ใจจริงผมอยากถามมันด้วยซ้ำว่าปุยเมฆเป็นไงบ้างและมีความสุขดีไหม แต่ไม่กล้าแฮะ ถ้ารู้แล้วบางทีต้องเจ็บขอทนอึดอัดไปก่อนดีกว่า ผมเหลือบดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ เที่ยงครึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมเลยออกไปหาซื้อของกินจากร้านใกล้ๆบ้านเธอ โดยผมซื้อโจ๊กหมูให้เธอ(ต้องบำรุงๆ) ส่วนผมก็ข้าวผัดไก่แหละ ง่ายๆ หลังจากที่ผมเอาข้าวผัดและโจ๊กใส่ชาม ผมก็เอาน้ำเปล่าใส่แก้วและยาขึ้นไปให้เธอโดยใช้ถาดลอง เมื่อถึงห้องผมก็พบว่าเธอยังหลับปุ๋ยอยู่เลย แต่จะไม่ปลุกเธอให้มากินก็ไม่ได้ เดี๋ยวโรคกระเพาะถามหา
“เชียร์ ตื่นมากินโจ๊กร้อนๆก่อนนะ” ผมค่อยๆเอามือไปแตะหน้าผากเธอและเขย่าตัวเธอเบาๆเป็นการปลุก ดูอาการเธอจะดีขึ้นบ้างแล้วล่ะ
“จ...จ้ะ” เธอพูดอย่างคนหมดแรง แต่สีหน้าดีขึ้นมากๆ
คราวนี้เธอสามารถทานอาหารเองได้แล้วครับ ผมเลยไม่ต้องป้อนอีก(แอบนึกเสียดาย) ผมเองก็กินข้าวผัดของผมไป เราสองคนก็คุยกันไปเรื่อยครับ ดูเธอมีความสุขดี บางทีผมก็แหย่มุกกับเธอ ส่วนเรื่องหนังสือไดเอรี่ของเธอน่ะหรอครับ ผมไม่ได้คุยกับเธอเรื่องนี้หรอก ยังไม่อยากที่จะให้มีเรื่องหนักใจของผมเข้ามาอีกน่ะสิ อีกอย่างรอเธอให้พร้อมก่อนดีกว่า หากอยากบอกกับผมเรื่องนี้ก็ค่อยคุยกันทีหลัง...
ปล.แต่งเองครับย แต่ท่าทางไม่ค่อยหนุก ดูไม่ค่อยมีคนอ่านเลย
เล่าเรื่องเสียวเกย์ , อ่านเรื่องเล่าประสบการณ์เสียวเกย์,เล่าเรื่อง ประสบการณ์เสียว,เล่าเรื่องเสียว
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
นิยายวาย ชายรักชาย สุดฟิน อ่านแล้วติดใจวางไม่ลง
1. My Husband : ผู้ชายคนนี้สามีผม นวนิยายแนวแก้แค้น ฉุด ลาก กระชาก จับกด ปล้ำ สุดท้ายก็รักกัน ฟินมากเรื่องนี้ 2. My Police My...
-
เรื่องของผมที่จะเล่าเนี่ย มันเกิดกับผมมานานแล้วตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมรู้ตัวว่าเป็นเกย์มาตั้งแต่เด็กครับ เพราะอยู่แต่กับญาติผูหญิง พ่อของผมเป็น...
-
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ผมกับพ่อก้อไม่มีใครพูดเรื่องนี้กันอีก จนผ่านมาเกือบๆ 5 ปี ตอนนั้นผมเริ่มมีขนตามตัวแบบพ่อแล้ว และขนาดควยก้อน่าจะสูสี...
-
เรื่องที่ผมจะเล่านี้ ผมว่าสนุกดี และเป็นเรื่องที่เกิดกับผมจริง ๆ เมื่อคืน คงจำไปตลอดชีวิตแน่ คือผมไม่ใช่เกย์ต้องบอกไว้ก่อน แต่ดูเหมือนจะต้อง...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น